อีกทางเลือกหนึ่งในการดูแลรักษาภูมิคุ้มกันตัวเองให้มีความแข็งแรง คือ เรื่องของสมุนไพรไทย เพราะสมุนไพรแต่ละอย่างมีสรรพคุณทางยา ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและช่วยต่อต้านเชื้อไวรัสได้ด้วย เมื่อคนไม่ป่วยอยากจะหาทางป้องกัน COVID-19 ดีกว่ารอให้ตัวเองถึงคิวติดเชื้อ! นอกจากการออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ก็เป็นการรักษาสมดุลให้กับตนเอง นุช – วรนุชภาคานามพอแล้วดี The Creator รุ่น 2 ผู้สืบทอดตำรับยาสมุนไพรไทยจาก Brand คุณยายปลั่ง เธอลุกขึ้นมาใช้ความรู้ความสามารถของเธอ เพื่อช่วยเหลือสังคมได้อย่างไร? ธุรกิจสมุนไพรสูตรปรุงเฉพาะบุคคลตามธาตุเจ้าเรือนนั้น จะได้รับมือกับวิกฤตอย่างไรกันท

แบรนด์คุณยายปลั่งลุกขึ้นมาทำกิจกรรมทางสังคมแบบรู้จักตนมีเหตุมีผลและมีภูมิคุ้มกันอย่างไร?
ทำอย่างรู้จักตนเองขนาดไหน เราว่ามันใกล้กับสิ่งที่เราอยู่แล้ว คือเราหยิบจับสิ่งที่อยู่รอบตัว แล้วเราก็ถนัด สามารถลงมือทำได้ทันทีทันใดเลย ก็ไม่ใช่สิ่งที่ยาก มันก็จำเป็น ณ เวลานั้น เราก็ช่วยได้
เรารู้จักตนเองคือ เราประยุกต์เอาสมุนไพรที่อยู่ใกล้ตัวในท้องถิ่นมาเชื่อมโยงกับตัวแอลกอฮอล์เจล เพราะว่ามันสามารถช่วยได้ ณ เวลานี้ มันก็เป็นวัตถุดิบที่มีอยู่แล้ว ใช้ภูมิปัญญาของคนโบราณ การแช่เหล้า การสกัดสาร เราก็ไปเทียบเคียงดูว่าสมัยก่อนที่มันเกิดปัญหาคล้ายแบบนี้ เขาใช้วิธีแบบไหน เขาก็ใช้เหล้ามาผสมกับสมุนไพร แล้วก็เอามาเป็นเหมือนกับยาพ่น ยาทา ซึ่งเราก็มีพื้นฐานแพทย์แผนโบราณอยู่บ้าง ภูมิปัญญาโบราณ ก็คือแอลกอฮอล์ในสมัยนี้แหละ เพราะดังนั้นเราสามารถผสมผสานได้นะ สามารถเชื่อมโยงสิ่งที่มีประโยชน์ในภูมิปัญหาคนโบราณ มีกลุ่มของขมิ้นชันที่เอามาจากเพื่อนจากใต้ (ฤทธิ์มันเป็นอย่างไร ช่วยขยายความนิดหนึ่ง) ขมิ้นชันก็จะช่วยยับยั้งพวกแบคทีเรีย เป็นเหมือนกับแอนตี้แบคทีเรีย พืชพวกนี้มันอยู่ในดิน ตัวเขาเองก็ต้องใช้พลังในการที่จะงอกขึ้นมา ในขณะที่ตัวเขาเองอยู่ใต้ดินตัวเขาเองก็ต้องต่อสู้กับพวกมด จุลินทรีย์ เพื่อให้ตัวเขาสามารถคงอยู่ได้ เขาก็จะหลั่งสารหอม อย่างสารเคอร์คูมิน เพื่อให้ตัวเขาสามารถดำรงชีพอยู่ แล้วมันก็เป็นยาตัวเขาเอง ส่วนมะกรูด มีอยู่แล้วในท้องถิ่น กลิ่นของเขาทำให้เราสดชื่น ส่วนใบบัวบกก็เหมือนกับสารสกัดใบบัวบก ที่ช่วยในการบำรุงผิวมือ แล้วตัวเขาเองก็มีฤทธิ์ในการยับยั้งแบคทีเรีย ไวรัส เหมือนกัน แต่ว่าไม่ได้หมายความว่า เจลตัวนี้จะมีฤทธิ์ยับยั้ง COVID-19 อะไรนะ เพียงแต่ว่า เรามองว่าอันไหนที่มันสามารถช่วยได้ แล้วมีแนวโน้มว่าจะดี เราก็เสริมเข้าไป แทนที่เราจะขายเพียงแค่แอลกอฮอล์พื้นๆ เพียงอย่างเดียว

เหตุและผลในการลุกขึ้นมาทำตรงนี้คืออะไร?
เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราทำ ถ้าเรามีความสามารถตรงนี้ แล้วพอเชื่อมโยงช่วยคนอื่นได้ ก็ยังดีกว่าเรานั่งอยู่เฉยๆ หรือว่านั่งดู คือจริงๆ ตัวเราก็ไม่ได้ขายดีนะ หมายความว่า ย้อนไปก่อนจะเข้าโครงการพอแล้วดี ที่บอกว่าขายตามห้างสรรพสินค้า แล้วสุดท้ายไม่ค่อยมีความสุขกับการทำงาน ก็ค่อยๆ ถอย เหมือนโควิดไปก่อนคนอื่น ถอยมาจนเหลือแค่เรากับช่องทางออนไลน์หรือเฉพาะกลุ่มคนที่เชื่อเรื่องสมุนไพรเพียงอย่างเดียว มันก็กลายเป็นว่า รายได้ทุกอย่างเราลดลง แต่เราก็พยายามผสมผสานอยู่ให้ได้ในเหตุและผล แต่ว่าก็ต้องมีความเข้าในการทำงานมาเข้าร่วม จนถึงจุดหนึ่งที่ว่ารายได้เราลงมาสุดขีด แต่ก็สมดุลด้วยที่เราเลือกแล้วว่าไม่ได้ไปออกห้าง ไม่ได้ดิ้นรนไปใช้ชีวิตที่อยู่ในห้าง มันก็เหมือนกับว่า เราเข้าสมดุลมาประมาณหนึ่ง พอโควิดมาก็อยู่ในจุดที่เราอยู่ๆ แล้ว เพียงแต่ว่าเรารู้สึกว่าจริงๆ ถ้าเราอยากได้สังคมการทำงานที่มีความสุข ลูกค้ามีความสุข ทุกวันนี้ลูกค้าก็มาจากทางออนไลน์ พอเราดูหน้าเพจคนนั้น คนนี้ มีปัญหา มีคนเดือดร้อง ถ้าเรานั่งขายอยู่ที่เดิม จุดเดิม เราก็ไม่ได้มีความสุข ในขณะที่คนเขาเดือดร้อนกัน เราก็มาถามตัวเองว่า ความสามารถที่เรามีอยู่ มันมีอะไรบ้างที่จะเอามาจุนเจือตรงนี้ โดยแบ่งปัน โดยที่เราเองก็ไม่ใช่ว่าเดือดร้อน เราแบ่งปันเอารายได้จากการขาย จากกลุ่มที่เขาเชื่อในเรื่องสมุนไพร เราว่าที่ผ่านมามันสกรีนกลุ่มลูกค้ามาประมาณหนึ่งแล้วว่า กลุ่มที่เลือกน้ำมันหอมเขาเป็นกลุ่มคนที่เชื่อเรื่องสินค้าดีมีคุณภาพอยู่แล้ว ถ้าเราแบ่งปันรายได้จากการขายกลุ่มเดิมตรงนี้มาทำให้ในสิ่งที่มันดีกับกลุ่มคนที่มีปัญหา พี่ว่าลูกค้าเข้าก็รู้สึกมีความสุขไปกับเรา มันเลยเป็นสิ่งที่เราทำแล้วกลมกลืนไปกับสิ่งที่เราทำอยู่ โดยที่เราไม่ได้ไปควักมาเยอะ ก็ทำให้สมดุลกับสิ่งที่เราทำอยู่เวลาที่เราทำหรือคนที่อยู่รอบๆ ตัวเห็นสิ่งที่เราทำ เขาก็มีความสุข อนุโมทนาไปด้วย กลายเป็นวงจนที่เราทำงานอยู่มันก็ยังคงมีความสมดุล ก็ไม่ได้พยายามยิ่งขายยิ่งกดดันไปใหญ่

ในแง่ของการมีภูมิคุ้มกันคุณมองว่าอย่างไร?
ภูมิคุ้มกัน จริงๆ ก็ไม่ใช่จะรอดนะตอนนี้ แต่ภูมิคุ้มกันของเรามันก็สมดุลไปด้วยเหตุผลของมัน หนึ่งคือมีเหตุมีผลกับมัน รู้จักตน แล้วภูมิคุ้มกันตรงนี้ พอลูกค้าเห็นเขาก็เหมือนเอื้อไปด้วยกัน ช่วยกันอุ้มสังคม เราทำแอลกอฮอล์เจลเราก็ไม่ได้ขอบริจาค เราก็เอารายได้ที่เรามีมาเลี้ยงดูตัวบริจาค เพื่อเป็นภูมิคุ้มกัน ไม่ใช่หมายความว่า ไปควักเงินเก่าเก็บมาเพื่อทำหรือไปขอบริจาค คือไม่ได้ขอบริจาคเพราะว่าทำงานไม่ได้เยอะ หมายถึงคนทำงานเราก็ทำอยู่คนเดียวกับทีมอีกคน ซึ่งถ้าเกิดเราต้องมานั่งทำโครงการที่มันใหญ่ เราทำไม่ได้ (ทำเท่าๆ ที่เราไหว) ใช่ เราทำเท่าๆ ที่เราทำไหว แล้วเวลาทำลูกค้าเขาก็อนุโมทนาบุญไปด้วย เพราะว่าอันนี้มันจะกลายเป็นภูมิคุ้มกันทั้งเราและลูกค้าไปในตัว

ทำไปแล้วได้อะไรจากการที่ทำแอลกอฮอล์บริจาคให้กับสังคม?
เราว่าถ้าไม่ทำจะรู้สึกแย่ มันรู้สึกว่าเราจะมานั่งขายๆ อยู่คือคนอื่นเขาเดือดร้อนอยู่ แล้วพอเราทำความรู้สึกตรงนี้ก็หายไป มันรู้สึกถึงการมีส่วนร่วมในการที่เวลาคนอื่นมีความเดือดร้อนแล้วเราเข้าไปร่วมด้วย ความเครียดของเราเองก็จะหายไป ตอนแรกเรากลัวเรื่องโรคระบาด แต่พอเราเข้าไปทำแล้ว ความกลัวมันหายไป เกิดความรู้สึกการมีส่วนร่วมแทน ได้ความรู้สึกเติมเต็มจากสิ่งที่เราพยายามทำมาตลอด ที่ผ่านมา เรามาอยู่จุดนี้คือต้องการสมดุลความสุขกับการทำงาน แต่พอเกิดการเดือดร้อนก็เริ่มไม่สมดุล มันก็รู้สึกแปลกๆ ไม่ได้แฮปปี้ มันหายไปตรงนี้ แต่พอเราได้ลุกขึ้นมาทำแล้วแบ่งปัน ความสมดุลก็กลับมาอีก มันไม่ได้เงิน แต่ได้ความสุขใจ มันสมดุลที่ขณะที่คนอื่นเป็นทุกข์ ความรู้สึกดีๆ หรือความสุขมันกลับมาอยู่จุดเดิม ตัวเราก็เคลื่อนไปอีกสเต็ปหนึ่ง มันไม่ได้จมอยู่กับปัญหาของเรานะ แต่มันเป็นความรู้สึกสะท้อนของสังคมที่รอบข้างเขาเดือดร้อน อย่างเราเห็นคนที่นอนริมถนน แต่ขณะที่เรายังมีบ้านอยู่ แล้วเราจะไม่ลงมือทำอะไรสักอย่างเหรอ มากกว่าขายๆ จนรู้จักตน อย่างเราฝากเพื่อนไป เห็นภาพคนที่ได้รับ เรารู้สึกว่าเราจบในหน้าที่ของเราแล้ว แล้วนี่คือสิ่งที่เราจะต้องต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าวิกฤตพวกนี้มันจะลดลง ถ้าแจกเสร็จแล้วจบมันก็จะเกิดความรู้สึกขึ้นอีกอย่าง มันก็ไม่สมดุลกลับมา

การเป็นพอแล้วดีทำให้อยู่กับวิกฤติโควิดได้อย่างไร?
ในวิกฤตโควิดมันก็มีช่องทางบางอย่างให้เราได้ปรับสมดุลของแบรนด์เราเอง ที่เราเข้าโครงการมา เรารู้จักตน ก็มีฟุ้งซ่านอยู่บ้าง อยากทำโน่นทำนี่ แต่พอมีวิกฤติมาความพอมันชัดขึ้น เอาเท่านี้แหละ เอาเท่านี้ก่อน เพราะถ้าเกิดพยายามได้มากกว่านี้มันก็เสียสมดุล

แบรนด์คุณยายปลั่งเจอวิกฤตไหมแล้วรับมือกับวิกฤตินี้อย่างไร?
อย่างที่บอกว่าเข้าวิกฤตมาล่วงหน้าแล้ว พยายามถอยตัวเองมาจากห้าง เราก็มีภูมิคุ้มกันที่จะจัดการ หนึ่งคือเราก็ไม่ได้ผลิตที่มันเยอะอะไร สองเรามีฐานลูกค้าที่เขาใช่ เขาชัดเจนกับเรา พอมีวิกฤตมากลุ่มพวกนี้ก็ยังอยู่ ยังไม่ได้ไปไหน แต่อนาคตอาจจะลดลง
ตอนนี้คุณยายปลั่งยอดขายจากออนไลน์ลดลงไหม?
มันก็น้อยปกติของมันมานานแล้ว แต่ในความน้อย เราจับสมดุลได้ ไม่ได้ก่อหนี้ทิ้งไว้ ไม่ได้มีค่าใช้จ่าย Fixed Cost ที่มันมากมาย เพราะสิ่งนี้เราก็รู้สึกว่าไม่ได้ไปดีลอะไรกับมัน นอกจากว่ามีความชัดเจนขึ้น บางอย่างเราอยากจะทำสวนทำอะไร เมื่อก่อนก็เดี๋ยวทำ แต่ตอนนี้รู้สึกว่าทำเลย ทำอาหารเลย ต้องสร้าง อนาคตโควิดจะมา คิดว่ามันไม่ได้จบเหมือนในหนัง แฮปปี้เอนดิ้ง เปิดบ้านกลับมาเหมือนเดิม เชื้อมาฝั่งในตัวเรา เราไม่รู้ มันอาจจะพัฒนาไปอะไรก็ไม่รู้ อนาคตเราจะรู้ได้อย่างไรว่าอาหารที่อยู่ในซูเปอร์มาเก็ตมันกินได้จริงๆ เพราะนั้นนาทีนี้ อย่างเมื่อก่อนตั้งใจว่าจะปลูกผัก ตอนนี้ต้องปลูกจริงๆ แล้วไง ต้องทำไว้ (คือประมาทไม่ได้) สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คืออาหารและยา เราเตรียมอาหารที่ปลอดภัยไว้ ที่เรารู้ เรามีกินก่อน ว่ามันมาจากตรงไหน อนาคตถ้ามันเกิดอย่างนี้ขึ้นมาอีก เราก็สามารถที่จะส่งความช่วยเหลือในมุมที่เราถนัดกับการที่เราต้องทำ ณ ตอนนี้ไปให้เขาได้
ในมุมแพทย์แผนไทยมองวิกฤตินี้อย่างไร?
สมัยก่อนมันก็มีโรคระบาด โรคห่า เขาก็ใช้ภูมิปัญญาคนโบราณมาช่วยในการรักษา เราว่ามันก็ต้องมีแหละ เพียงแต่ว่าเราก็ต้องลงศึกษาวิจัยเชิงลึกขึ้น คือทุกอย่างมันต้องมีคู่ของมันมา อย่างบางทีมีแมงกระพรุนไฟมา ก็มีผักบุ้งทะเลขึ้นมาคู่กัน เพื่อที่จะมาจัดการสมดุลให้กับมัน พี่ว่าทุกอย่างมีคู่ที่จะมาจัดการกับมันเสมอ เพียงแต่ว่าอาจจะต้องใช้เวลาในการวิจัย อย่างฟ้าทะลายโจนที่แถลงข่าวไปมันก็สามารถช่วยได้ แต่ว่ามันอาจจะต้องรอการพัฒนาอีกจุดหนึ่ง เพื่อที่ให้มองเชื้อโรคให้ชัดเจนขึ้นอีกนิด เพราะตอนนี้เขาก็ทำไปตามอาการที่ปรากฎ เราว่ามันต้องมีสมุนไพรที่ช่วยได้ ซึ่งอาจจะอยู่ใกล้ตัวในท้องถิ่นเรานี่แหละ เพราะว่าสมุนไพรที่ขึ้นในถิ่นไหน มันก็มารักษาคนที่ท้องถิ่นนั้น อย่างโรคห่า เขาก็มีสมุนไพรที่แก้ คือทุกอย่างขึ้นมาก็ต้องมีคู่ที่จะไปประกบกัน
ปรับตัวปรับปรุงธุรกิจจะปรับปรุงอย่างไรมองระยะยาวของคุณยายปลั่งอย่างไร?
เราว่าในอนาคตหลายๆ คนหรือแม้แต่ลูกค้าเราก็จะเริ่มมีวิถีชีวิตที่ยากขึ้น เพราะนั้นเราต้องปรับตัวให้ผลิตภัณฑ์ของเราเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ของเขาให้ได้ มันต้องมีความสำคัญมากพอที่เขาจะเสียเงินที่ไม่ได้มีอยู่เยอะมาก ซื้อเรา เพราะนั้นตัวเราเองก็พยายามใช้ความรู้ในการที่จะพัฒนาของให้มีคุณค่า อย่างน้อยมันอาจจะกลายหนึ่งเป็นยาที่ช่วยเขา ให้เขาอยู่ในชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น มันจะต้องไม่เป็นฟุ่มเฟ้อสำหรับเขา แต่ว่ามันจะต้องเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับเขา เขาถึงจะเลือกเรา หรือเราอาจจะต้องไปหาสมุนไพรไทยหลายๆ ตัวที่อาจจะช่วยในการปรับสมดุล พวกดิน น้ำ ลม ไฟ ให้เขามีวิถีชีวิตที่ดีในยุคที่เกิดวิกฤติทางสุขภาพ

สนใจผลิตภัณฑ์สมุนไพรดูได้ที่
https://www.facebook.com/kunyaiplang/