แบ่งปันอย่างมีภูมิคุ้มกัน สร้างประโยชน์และรอยยิ้ม

ธุรกิจหลายแห่งชะลอตัว เกิดปัญหาคนว่างงาน เศรษฐกิจหยุดชะงัก ตลาดหุ้นซบเซา ทั้งหมดนี้เป็นเชื้อเพลิงเพิ่มความเครียดชั้นดีที่ต่อเนื่องกันเป็นห่วงโซ่ในสถานการณ์โควิด – 19 การคาดเดาอนาคตไม่ได้และไม่รู้จุดจบของเหตุการณ์เช่นนี้จึงทำให้มีผู้คนเริ่มใช้ชีวิตยากลำบากมากขึ้น คุณ บิ๊ก – ชินศรี พูลระออ ฐานะคนทำข้าว จึงเข้าร่วมโครงการช่วยสังคมมากมายเพื่ออยากทำให้ทุกคนกลับมามีรอยยิ้มอีกครั้ง ด้วยข้าวสาร สิ่งจำเป็นที่สุดในยามที่สังคมมีความคับขัน ข้าวสารปลอดสารพิษ เพียง 1 ถุง ก็ทำให้ทุกคนมีเรี่ยวแรงต่อสู้กับปัญหาต่อไปได้

อยากให้ช่วยอธิบายว่าในการเข้าร่วมกิจกรรมหรือทำกิจกรรมนั้นคุณคิดแบบรู้จักตัวเองคิดแบบมีเหตุมีผลและคิดแบบมีภูมิคุ้มกันอย่างไร ?

“แบรนด์ข้าวธรรมชาติเกิดมาไม่ได้ต้องการที่จะเป็นแบรนด์ที่มีมูลค่าทางการตลาดเยอะแยะมากมายอะไร แต่อยากเป็นแบรนด์ที่สร้างประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น การที่ผมสร้างแบรนด์ข้าวธรรมชาติขึ้นมา เกิดจากการที่ผมไปเห็นชาวนาเดือดร้อน มีความทุกข์ และร้องไห้ ก็เลยกลับมาทำตรงนี้    

ในเมื่อแบรนด์ข้าวธรรมชาติเกิดมาเพื่อเป็นประโยชน์ และสร้างประโยชน์ให้กับคนอื่น ณ ยามวิกฤติตอนนี้ ซึ่งทุกคนกำลังเดือดร้อน กำลังต้องการการช่วยเหลือ กำลังต้องการข้าวไปอุปโภคบริโภค รายได้พวกเขาลดลง รายจ่ายพวกเขาก็ยังมี ผมก็เลยมาดูว่า ในเมื่อเราสร้างแบรนด์นี้ขึ้นมา เพื่อยังประโยชน์ให้กับคนอื่น เพราะฉะนั้น เวลานี้ก็เป็นเวลาที่เหมาะที่เราจะสร้างประโยชน์ให้กับผู้อื่นและสังคมได้

ผมก็เลยเอาข้าวที่มีอยู่ สีเป็นข้าวสาร แล้วเข้าร่วมกับโครงการพอแล้วดี ด้วยการสมทบทุน เอาไปบริจาค เอาไปแบ่งปันให้กับพวกพี่ๆ พนักงานเก็บขยะ

พอผมได้ไปเห็นตรงพวกพี่ๆ พนักงานเก็บขยะ พี่พบว่า พวกเขามีรายได้ที่ลดลง เนื่องจากสถานการณ์โรคระบาด เวลาคนทิ้งขยะ พี่ๆ พนักงานเก็บขยะก็ไม่กล้าคัดแยกขยะ เพราะพวกเขากลัวติดโรค พอพวกเขาไม่กล้าคัดแยก รายได้ส่วนหนึ่งที่พวกเขาได้จากการคัดแยกขยะไปขายก็ไม่มี พี่ก็มองตรงนั้น

“ด้วยธุรกิจของผม ผมไม่ได้มีแค่ทำข้าวบริจาคอย่างเดียว ผมก็มีการขายข้าวด้วย ผมก็เอากำไรจากส่วนนี้มาช่วยในการแบ่งปัน มาช่วยในวาระแห่งการเกื้อกูลครั้งนี้ มันถัวเฉลี่ยกันไป มันก็ไม่ถือว่าเดือดร้อนอะไรมากมาย เราอาจจะขาดทุนกำไร แต่หนึ่งคำที่เขาทางข้าวของเราเข้าไป แล้วมีแรงสู้ต่อ มีกำลังดูแลครอบครัว ดูแลพ่อแม่ ดูแลลูกหลาน มันก็ช่วยสร้างสังคมไปในตัว 

เรื่องความมีเหตุมีผล ผมดูแล้วเห็นว่า ถ้าเกิดว่าข้าวธรรมชาติจะถูกลดทอนกำไรไปในช่วงนี้ แต่ว่าสังคมได้ประโยชน์ คนอื่นได้ประโยชน์ พี่ก็โอเค คือถ้าเราอยากอยู่ในสังคมที่ดี แล้วเราไม่ร่วมกันสร้าง ผมคิดว่า สังคมดีๆ ก็จะเกิดขึ้นได้ยาก”

“ส่วนเรื่องภูมิคุ้มกันเนี่ย ผมมีการเตรียมรับมือตามสถานการณ์อยู่แล้ว ซึ่งไอ้การเตรียมสถานการณ์เนี่ย ผมก็ดูการเปลี่ยนแปลงของสิ่งที่จะเกิดขึ้นเอาไว้ ทั้งปัจจัยที่มันจะเกิดขึ้นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องข้าว ฯลฯ คือในปริมาณข้าวที่ผมมี ผมขายหมด ฤดูกาลปลูกคราวหน้า มันก็จะมีเข้ามาใหม่ ซึ่งตรงนี้ไม่น่าจะมีผลกระทบอะไรเท่าไหร่ ถ้าดูจากสถานการณ์ ณ เวลานี้นะ ทั้งสถานการณ์น้ำ สถานการณ์คนปลูก เป็นต้น

การทำโครงการนี้ ผมมีเวลาคิดมากพอสมควรเลย เราทำเพราะว่า หนึ่ง พอเห็นคนเดือดร้อนปุ๊บ เราทำเลย พอพี่หนุ่ยบอกมาปุ๊บ เราได้ครับเลย”

การที่ลุกขึ้นมาทำกิจกรรมเพื่อสังคมเหล่านี้คุณได้เรียนรู้อะไรบ้าง

“ที่ได้ที่สุดก็คือ ได้ความอิ่มใจ คุณเคยเห็นรอยยิ้มของคนที่เป็นทุกข์มั้ยล่ะ ว่ามันจะยิ้มแล้วออกมาขนาดไหน บางคนไหว้แล้วไหว้อีก จริงๆ นอกจากกับพวกพี่ๆ พอแล้วดี ผมก็ยังมีไปบริจาคให้ที่อื่นอีกนะ ก็มีช่วงที่เกิดไฟป่า ที่ผมเอาข้าวไปให้ทางมูลนิธิฯ ข้างบน แล้วก็มีร่วมกับโครงการ Chief for Chance ของพี่หนุ่ย ที่ผมก็สนับสนุนข้าวเหนียวเข้าไป

นอกจากนี้ ก็มีเอาไปให้เจ๊จง เอาไปให้มีนาคาเฟ่ ที่เอาไปบริจาคตามสถานที่ต่างๆ เร็วๆ นี้ ก็จะมีเอาไปให้พี่เล็ก ที่จะเอาไปให้มูลนิธิกระจกเงาต่อ มีป้าจันทร์ สวนองุ่น แล้วก็มีพวกพี่ๆ ที่ผมรู้จัก ที่เขาจะเอาไปให้พนักงานเก็บขยะกันเองอีก”

คือผมไม่เคยคิดเลยนะว่า ร้านอาหารมันจะปิดได้ ไม่เคยคิดเลยว่า ผมเข้ามาในกรุงเทพฯ แล้วผมจะไม่มีร้านอาหารให้นั่งกินข้าว ผมไม่เคยคิดเลยว่า เหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้น ผมเห็นและรู้สึกได้เลยว่า ทุกคนลำบาก 

ผมคิดว่า สำหรับการอยู่รอดของธุรกิจแล้ว เราควรจะเลียนแบบธุรกิจใหญ่เอาไว้บ้าง คือเอาเยี่ยงพวกเขามาปรับใช้ ธุรกิจใหญ่มีแม่น้ำหลายสาย ดังนั้น ถ้าจะเตรียมตัวให้พร้อมเผชิญกับวิกฤติ คุณก็ต้องไม่ใช้แม่น้ำสายเดียวที่เข้ามาหล่อเลี้ยงคุณ คุณต้องหาแม่น้ำหลายๆ สายที่มันไหลเข้ามาสู่บ่อน้ำของคุณ ซึ่งมันก็เป็นการกระจายความเสี่ยงอย่างหนึ่ง ถ้าแม่น้ำสายหนึ่งเหือดแห้งลงไป มันก็ยังมีแม่น้ำอีกหลายที่มันจะมาหล่อเลี้ยงบ่อน้ำของคุณได้ 

ผมคิดว่า สำหรับการอยู่รอดของธุรกิจแล้ว เราควรจะเลียนแบบธุรกิจใหญ่เอาไว้บ้าง คือเอาเยี่ยงพวกเขามาปรับใช้ ธุรกิจใหญ่มีแม่น้ำหลายสาย ดังนั้น ถ้าจะเตรียมตัวให้พร้อมเผชิญกับวิกฤติ คุณก็ต้องไม่ใช้แม่น้ำสายเดียวที่เข้ามาหล่อเลี้ยงคุณ คุณต้องหาแม่น้ำหลายๆ สายที่มันไหลเข้ามาสู่บ่อน้ำของคุณ ซึ่งมันก็เป็นการกระจายความเสี่ยงอย่างหนึ่ง ถ้าแม่น้ำสายหนึ่งเหือดแห้งลงไป มันก็ยังมีแม่น้ำอีกหลายที่มันจะมาหล่อเลี้ยงบ่อน้ำของคุณได้ 

มีวิธีรับมือสถานการณ์โควิดที่เข้ามากระทบต่อธุรกิจตัวเองอย่างไร ?

ทำงานตามหลักปรัญชาของเศรษฐกิจพอเพียงรู้จักประมาณตน เราทำงานต้องรู้จักตัวเองว่าเราเก่งเรื่องอะไร ไม่เก่งเรื่องอะไร จุดแข็ง จุดอ่อนเราอยู่ตรงไหน แล้วต้องรู้ว่าปัญหาที่จะเกิดใครพอจะให้คำปรึกษาช่วยเหลือเราได้ ทำแบบพอดีพอดี ไม่รีบเร่งหักโหมจนเกินไป ไม่ช้าเกินไป ไม่เบียดเบียนตนเองหรือผู้อื่น ในงานทุกคนที่เกี่ยวข้องกับงานล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกันส่งผลถึงกันเสมอ ไม่มีใครเก่งกว่าใครทุกคนทุกสิ่งล้วนเกี่ยวโยงกันตามธรรมชาติ ไม่มีใครทำอะไรคนเดียวได้ดี ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน การให้เกียตรซึ่งกันตามสถานของงานจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ

การมีเหตุมีผล การตัดสินใจทุกอย่างต้องคิดถึงเหตุและผลที่จะเกิดจากการกระทำ ต้องเอาปัจจัยที่เกี่ยวโยงทั้งหมดมาดู แล้วคิดถึงผลที่จะตามมาด้วยว่ามากน้อยยังไง

ภูมิคุ้มกัน อันนี้ผมคิดว่าเป็นการเตรียมตัวที่ต้องรับกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ซึ่งต้องนึกถึงสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นเพื่อเตรียมตัว ปรับตัว ธรรมชาติไม่เคยปรับตัวมาหาสิ่งมีชีวิตแต่สิ่งมีชีวิตต้องปรับตัวเข้าหาธรรมชาติ 

เมื่อก่อนผมมุ่งเน้นไปที่ร้านอาหาร แล้วตอนนี้ร้านอาหารปิดกันระนาวเลย คือถ้าเป็นเมื่อก่อน ธุรกิจพี่กระทบแน่นอน แต่ ณ ปัจจุบัน ก็ต้องยอมรับว่ากระทบ แต่กระทบไม่มาก คือ ธุรกิจร้านอาหาร โรงแรม อาจจะปิด แต่อีกฝั่งหนึ่ง ที่เป็นธุรกิจแบบ B2B หรือ Business-to-Business หรือผมก็ยังอยู่ ยังมีออร์เดอร์มาตลอด ซึ่งพี่ก็อาศัยขา B2B นี้ มาหล่อเลี้ยงและช่วยเหลือสังคมไปในตัว

ติดต่อซื้อข้าวธรรมชาติ (จ.เชียงราย) ได้ที่
https://www.facebook.com/khaothammachad/