ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 มาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ล้วนกระทบต่อทุกคน ทุกสายอาชีพ ไม่ว่าจะในด้านชีวิตความเป็นอยู่หรือการหารายได้ดำรงชีพ กับคนตาบอดก็เช่นกัน แม้ว่าประชาชนบางรายจะเปลี่ยนอาชีพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตในช่วงวิกฤตนี้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเปลี่ยนอาชีพได้แบบทันทีทันใด สำหรับ จุ้ย – จิระชนะบริบูรณ์ชัยพอแล้วดี The Creator รุ่น 2 เลือกช่วยเหลือกลุ่มคนตาบอดด้วยการระดมทุนผลิตหน้ากากอนามัยคุณภาพสูง โดยใช้ความถนัดจากการที่เป็นผู้ผลิตเสื้อผาสำหรับคนตาบอดอยู่แล้วมาเป็นผลิตหน้ากากแทน อะไรที่ทำให้วัยรุ่นอายุเพียง 20 ต้นๆ เลือกทำสิ่งที่ไม่ใช่หน้าที่ของตนเอง? และธุรกิจของเราละมีวิธีรับมืออย่างไร?

ทำไมถึงลุกขึ้นมาทำกิจกรรมในช่วงนี้ได้ทำแบบรู้จักตนเองมีเหตุมีผลและมีภูมิคุ้มกันขนาดไหน?
ที่ลุกขึ้นมาทำกับแบรนด์ Once เริ่มต้นที่เรามีปัญหาในธุรกิจของเราในช่วงสถานการณ์ COVID-19 ลูกค้าส่วนใหญ่ของเรา ด้วยความที่ Once เป็นแบรนด์ที่ผลิตเสื้อยืดเสื้อโปโล แบรนด์แฟชั่นแล้วนี่ ยังมีสายเรื่องของการผลิตด้วย ซึ่งเรื่องของการผลิตก็กระทบเต็มๆ เลย ส่วนใหญ่ลูกค้าของเราเป็นพวกโรงงาน อีเวนต์ แบรนด์ ซึ่งแน่นอนว่า อีเวนต์ก็ถูกยกเลิก เสื้อโรงงานเขาก็ทยอยเลิกจ้างกันก็ไม่ได้มาจ้างเราในการทำเสื้อใหม่ๆ ในส่วนของแบรนด์ตอนนี้ คนก็สนใจเรื่องของแบรนด์น้อยลงด้วย หันไปซื้อของที่จำเป็นมากขึ้น
เราจะทำอย่างไรในภาวะแบบนี้ เพราะว่าเรามีคนที่จะต้องดูแลอยู่ข้างหลังดูแลอีกเยอะมากๆ ประมาณ 20-30 คนในโรงงานของเรา ซึ่งถ้าเราไม่คิดที่จะเริ่มต้นทำอะไรสักอย่าง คือเราคงจะดูแลเขาต่อไปไม่ได้ เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ให้เราลุกขึ้นมาทำสิ่งที่เราไม่ยึดติดกับความเป็นตัวเอง เพราะว่าปกติแล้ว Once ผลิตแต่เสื้ออย่างเดียวเลยนะครับ ซึ่งในช่วงนี้เราถูกยกเลิกออเดอร์ประมาณ 70% ดังนั้นแล้ว เราก็พยายามปรับตัวว่า จะทำอย่างไรดีเพื่อที่จะเข้ากับยุคเข้ากับสมัย แล้วก็หารายได้อย่างเรียกว่ามีภูมิคุ้มกันในการทำงานของเรา เราเริ่มต้นจากการคิดถึงตัวเองก่อนว่า สิ่งที่เรามีคืออะไรบ้าง แน่นอนว่าเรามีทักษะในเรื่องของการดีไซน์ เรื่องของการผลิตที่เราค่อนข้างจะชำนาญอยู่แล้วด้วย ดังนั้น Once Studio จะมีบทบาทใหม่ เรากำหนด Definition Brand ของเราใหม่เลยว่า เราเป็น brand Innovation คือเราจะผลิตนวัตกรรมเพื่อการสวมใส่ที่ดียิ่งขึ้น แล้วก็ตอบโจทย์คนมากยิ่งขึ้น นั่นหมายความว่า เราจะผลิตสินค้าที่จำเป็นกับการใช้ชีวิตคนจริงๆ โดยที่ไม่ขายแฟชั่น หรือเรื่องราวของความเพ้อฝันอีกแล้ว ดังนั้น เราก็เลยเริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนสายพานการผลิตมาเป็นการผลิตหน้ากากคุณภาพแทน ในการที่เรามีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการผลิตแล้ว เลยทำให้เราสามารถผลิตออกมาอย่างมีคุณภาพและต้นทุนถูก เราจำหน่ายให้คนในราคาที่ถูกด้วย เพื่อที่ให้คนได้ใช้จริงๆ อันนี้คือนิยามของคำว่า Brand Innovation ของเรา เราสร้างนวัตกรรมทำให้ทุกคนสามารถใช้ได้จริง ไม่ได้แค่สวยๆ อย่างเดียว แล้วแพงๆ

ว่าง่ายๆถ้าจะโยงให้เข้ากับ 3 ห่วงการรู้จักตนเองก็คือมันไม่ใช่เรื่องของแฟชั่นแต่การรู้จักตนเองในมุมของจุ้ยพยายามอยากจะบอกว่าเข้าใจในการผลิตแล้วสามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการผลิตแต่ยังอยู่ในไลน์เดิมประเภทธุรกิจเดิมแต่หาความจำเป็นของประเภทธุรกิจนี้ให้เจอว่าอะไรคือความจำเป็นต่อการสวมใส่?
ถูกต้องครับ พอเราเก็ตตรงนี้ เราของคนต่างๆ ก็เริ่มที่จะมองเรื่องของเหตุผล เรารู้จักตัวเองแล้วว่า จะเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางไหน จะมีความยืดหยุ่นในการทำอะไรได้บ้าง ดังนั้น พอบอกว่าเราจะเป็น Brand Innovation เราก็เปลี่ยนรูปแบบการบริหารทั้งหมดเลย ในเรื่องของการทำธุรกิจของเรา แล้วก็ปรับเปลี่ยนกระบวนการสร้างสรรค์งานใหม่ โดยการเก็บ Personal ซึ่งเรียกว่าเราทำ Target ละเอียดมากยิ่งขึ้นว่า ลูกค้าของเราต้องการอะไร ดังนั้นเราเลยจะตั้งระบบฐานข้อมูลขึ้นมาใหม่ เพื่อที่เราจะสามารถทำแมสก์หรือเสื้อได้ตอบโจทย์ตามความต้องการของลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น แมสก์ผ้ามัสลิน หลายแบรนด์ใช้ผ้า Waterproof มีคุณสมบัติมากมายเลย แต่ถามว่าอะไรล่ะที่พอดีกับคนที่ใส่ได้ทุกวัน ได้แพงเกินไป ไม่ได้มีคุณสมบัติมากจนเกินไป เราเจาะกลุ่มให้ทุกคนได้ใช้จริง เราเก็บ Personal ตรงนี้มา แล้วเอามาพัฒนาผลิตภัณฑ์ เรียกว่าเป็นหลักการของเหตุผลที่เราเริ่มที่จะมี Business Model ที่แข็งแกร่งมากขึ้น มีรูปแบบของการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ดีมากยิ่งขึ้น



แล้วในห่วงของภูมิคุ้มกัน?
สุดท้ายในส่วนของภูมิคุ้มกันเราเรียกว่า ธุรกิจมันต้องมีคำว่าเติบโต และก็มีคำว่ายั่งยืนด้วย ซึ่งใครบ้างล่ะที่ยั่งยืน ด้วยความที่เราทำเรื่องของสังคมมาเยอะ ดังนั้นแล้ว เราพัฒนาระบบ Supply Chain ให้สามารถที่จะเข้าไปช่วยเหลือผู้พิการทางสายได้อีกด้วย ตอนนี้เราก็มีโปรดักต์อีกไลน์หนึ่งที่พัฒนาให้คนตาบอดได้มีอาชีพที่ยั่งยืนมายิ่งขึ้น โดยที่เอางานปักตรงนี้มาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อที่ส่งต่อให้ลูกค้าด้วย ตรงนี้ก็จะทำให้คนตาบอดมีอาชีพ รวมไปถึงของการทำโปรเจ็กต์แจกแมสก์ให้กับคนตาบอดที่ยังขาดโอกาสอยู่ ตรงนี้เรามีการใส่ Business Model เข้ามาในเรื่องที่เราเรียกว่าเป็นการระดมทุนมากกว่าเป็นการบริจาคเงิน เพราะว่าด้วยความที่ Once เราต้องบริหารจัดการเงินให้เพียงพอต่อการทำธุรกิจด้วย ดังนั้น เราก็ยอมรับเลยว่าเราไม่ได้เงินจำนวนมากในการไปแจกให้ได้ครบ ดังนั้นแล้ว เราก็เลยจัดการระดมทุนเข้ามาร่วมกับลูกค้าของเราที่สนใจในโครงการการส่งต่อ เพราะฉะนั้น ตรงนี้ก็จะทำให้เรามีภูมิคุ้มกันในการใช้เงินของเรา แล้วก็เรื่องของแผนการเงินของเราก็ไม่สะดุดด้วย
แล้วในส่วนของการทำกิจกรรมที่ช่วยเหลือคนพิการทางสายตาช่วยเล่าวิธีการระดมทุนวิธีการจัดการต่างๆว่าขั้นตอนเป็นอย่างไรซื้อมาหนึ่งชิ้นแถมหนึ่งชิ้นหรือว่าอะไรอย่างไร?
เราไม่ได้ทำซื้อ 1 ให้ 1 สำหรับคนที่ต้องการบริจาคจริงๆ เรามีทรัพยากรอยู่คือ ตัวหน้ากากในราคาต้นทุนที่อยากจะแบ่งปันอยู่แล้ว เราระดมทุนของเงินในการซัพพอร์ตตรงนี้ เพื่อที่จะเอาไปบริจาคต่อเลย เพื่อความรวดเร็วในการทำงานของเรา เพราะว่าถ้าซื้อ 1 ให้ 1 บางคนอยากจะบริจาคมากกว่านั้น อยากบริจาค 100 ชิ้น เขาก็คงไม่ได้ซื้อใช้ 100 ชิ้น เพราะฉะนั้นแล้วเป็นรูปแบบการระดมทุนในรูปแบบนี้ ที่จะเอาไปส่งให้กับ… อย่างทันท่วงทีที่คนตาบอดต้องการใช้

คำถามต่อไปคือโครงการต่างๆที่จุ้ยคิดจะลุกขึ้นมาคิดจะช่วยเหลือสังคมในสถานการณ์แบบนี้จุ้ยทำไปแล้วมันได้อะไรกับตัวจุ้ยมันได้อะไรกับตัวแบรนด์?
เรื่องของสังคมที่เราทำเรียกว่าเป็นแพชชั่น หนึ่งคือเราได้ทำตามแพชชั่น สองคือเรื่องของการทำธุรกิจ เราได้กำไรจากการทำตรงนี้ เรียกว่าเราไม่ได้เอากำไรเยอะ เราบริหารการทุกอย่างพอเพียง มีกำไรพอเลี้ยงกับคนที่อยู่ข้างหลังเรา แล้วตรงนี้ทำให้เรามีความยั่งยืนทางธุรกิจมากยิ่งขึ้น ที่รู้สึกว่าตรงนี้มันกลมกลืนไปกับการทำธุรกิจของจุ้ย ไม่ได้เป็นอะไรพิเศษขึ้นมาจาการที่เราทำธุรกิจอยู่เดิม ปกติแล้วเราก็ทำธุรกิจที่คิดถึงสังคม แล้วก็สร้าง Supply Chain ที่ไปถึงสังคมอยู่แล้วด้วย
การเป็นพอแล้วดีที่จุ้ยได้เรียนมามันทำให้จุ้ยได้ดีลกับปัญหา COVID-19 อย่างไรเพราะว่าแน่นอนธุรกิจของจุ้ยต้องเจอกับวิกฤติ?
ความพอแล้วดีที่ได้มาหลักๆ เลยคือ เรารู้จักพอ ในทีนี้คือเราไม่ได้เอากำไรมากเกินไป สมมติว่าเราทำธุรกิจอย่างเดียว กำไรมันเป็นที่ตั้งอยู่แล้ว แต่คำว่ากำไรมันมีคำว่าชีวิตเข้ามา ที่เราต้องบริหารจัดการด้วย นอกจากคำว่าเงิน ดังนั้น คำว่าพอทำให้เรารู้จักตั้งราคาอย่างพอดี ที่ทุกคนสามารถจะเข้าถึงได้ ทุกคนสามารถที่จะอยู่รอดได้ มีความสุขได้ และพร้อมที่จะแบ่งปันไปพร้อมกัน ราคาของ Once ปกติแมสก์หนึ่งชิ้น คุณภาพอย่างที่ทำก็ต้องสัก 60-70 บาท เราขายแค่ 30 บาท มีกำไรแค่พอประมาณ แค่เลี้ยงคนงาน เพราะเราก็ได้เอาเรื่องของความพอเพียงไปสอนพนักงานของเราเหมือนกัน เราก็คุยกับพนักงานของเราเลยว่าในช่วงนี้ คนเขาลำบาก แล้วต้องการใช้ของเราจำนวนมาก ทุกคนยอมเหนื่อย แล้วก็ได้เงินที่ไม่ได้เยอะมาก แล้วก็พอเพียงสำหรับการทำงาน ซึ่งตรงนี้เราไม่ได้โลภ จนไปขูดเลือดขูดเนื้อหรือทำนาบนหลังคน ในภาวะที่คนเดือดร้อน
อยากจะให้ช่วยสะท้อนหน่อยว่าหลังจากไปเจอเจ้าหน้าที่ลงไปในพื้นที่มากลุ่มคนที่เป็น Target ที่อยากจะช่วยเหลือเขามีปัญหาด้านใดที่อยากจะสะท้อนให้สังคมได้รับรู้?
สาเหตุหลักที่เราเริ่มต้นโครงการช่วยคนตาบอด เพราะว่าด้วยความที่คุณลุงกับคุณป้าของเราก็เป็นคนตาบอด ทำให้เราเห็นรูปแบบการใช้ชีวิต โชคดีหน่อยที่ลุงกับป้าของจุ้ยมีการศึกษาเลยทำงานในสายที่ได้เงินค้าจ้างอยู่ แต่สามอาชีพหลักของคนตาบอดคือ การขายลอตเตอรี่ การร้องเพลง การถือกล่องหรือเรียกว่าขอทาน สามอาชีพนี้ก็ถูกชัตดาวน์ไปพร้อมกับการชัตดาวน์กรุงเทพฯ ด้วย ซึ่งทำให้เขาขาดรายได้ แล้วก็ไม่ได้มีโอกาสในการทำอย่างอื่น ด้วยความที่คนตาบอดหลายคนไม่ได้มีโอกาสในการเรียนหนังสือมากขึ้น แล้วก็การจะไปไหนมาไหนเขาก็ลำบาก รวมถึงการใช้แมสก์ การจะไปซื้อแมสก์ในช่วงเริ่มต้นของ COVID-19 ก็เป็นเรื่องที่ยากมาก ขนาดเราเป็นคนตาดีก็ยังหาซื้อไม่ค่อยได้ ซึ่งตรงนี้ก็เลยเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เราลุกขึ้นมา หนึ่งคือเราต้องช่วยตรงนี้ให้ทันท่วงทีก่อน คือเราก็เลยตั้งโครงการในการบริจาคแมสก์ขึ้นมา สองเราก็มุ่งมั่นในการสร้างอาชีพขึ้นมา ที่จะไม่ถูกชัตดาวน์ไปกับการชัตดาวน์กรุงเทพฯ คือการปักงาน ซึ่งเขาสามารถที่จะ Work From Home ได้เลย เพราะว่าตัวโปรดักส์ที่เขาทำมาเราก็จะไปรับถึงที่ ซึ่งตรงนี้ทำให้เรารู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ Once ทำที่ในการพัฒนาสังคมและคนพิการ

สุดท้ายแล้วอยากจะให้ช่วยอธิบายหน่อยว่าการที่ธุรกิจของเราตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากอะไรคือสิ่งที่ธุรกิจของจุ้ยต้องเรียนรู้แล้วทำให้เห็นปัญหาชัดกว่าธุรกิจอื่นๆหรือเปล่า?
มองว่าปัญหาทุกอย่างเราต้องเรียนรู้ แล้วเอามาแก้ไข เราถึงจะเติบโต ซึ่งอันนี้คือด้วยความที่ Once เป็น Startup ใหม่ที่เจอปัญหาใหม่เยอะมากๆ ตรงนี้เราได้เรียนรู้ปัญหาต่างๆ เยอะมาก แต่การเรียนรู้ของเรา เราต้องจดจำด้วย คำว่าจดจำของเราคือเราเก็บ Data ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลทางการบัญชี การเก็บ Persona ของลูกค้าในสิ่งที่เขาต้องการมากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะเอาข้อมูลเหล่านี้กลับมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ สถานที่การจัดจำหน่าย วิธีการทำธุรกิจของเราให้ดียิ่งขึ้นด้วย ตรงนี้คือส่วนสำคัญที่ทุกธุรกิจในยุคปัจจุบันควรที่จะทำ เรื่องของข้อมูลควรที่จะเก็บให้มากที่สุด เพื่อที่จะเอามาพัฒนาธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น Once อยู่รอดได้และเติบโตด้วยข้อมูลเหล่านี้ทั้งหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลลูกค้า การใช้เงิน พฤติกรรมของลูกค้าทั้งหมด เรามีการเก็บข้อมูลเหล่านี้
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
https://www.facebook.com/theonceproject/